ออส.สั่งดำเนินคดีจับตัวพร้อมเพิกถอนสิทธิทำกิน หลังพบกานไม้บุกรุกป่าตัวการเกิดไฟป่าพรุควนเคร็ง
นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รักษาราชการแทนอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่หน่วยปฏิบัติการพิเศษที่ 2 สำนักงานสนับสนุนการป้องกันและปราบปรามที่ 4 (ภาคใต้) เจ้าหน้าที่หน่วยพิทักษ์ป่าย่อยโคกเลา เขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย และเจ้าหน้าที่สายตรวจปราบปรามประจำสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 5 สายที่ 1 (นครศรีธรรมราช-กระบี่) เข้าดำเนินการตรวจสอบบริเวณพื้นที่ที่ถูกไฟป่าเผาไหม้ ในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย บริเวณบ้านโคกเลา ท้องที่หมู่ที่ 6 ตำบลเคร็ง อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อขยายผลและดำเนินคดีจับตัวผู้กระทำผิดให้ได้พร้อมเพิกถอนสิทธิทำกิน หลังพบกานไม้บุกรุกป่าตัวการเกิดไฟป่าพรุควนเคร็ง จ.นครศรีธรรมราช
โดยเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2566 ได้รับแจ้งจากนายนฤพนธ์ ทิพย์มณฑา ผู้อำนวยการสำนักป้องกัน ปราบปราม และควบคุมไฟป่า พบว่าจากการลาดตระเวนตรวจสอบไฟป่า ในพื้นที่เกิดไฟป่าพรุควนเคร็ง พบมีการกานต้นเสม็ดขาวในพื้นที่ จึงสั่งการให้เจ้าหน้าที่เร่งเข้าไปดำเนินการตรวจสอบเพิ่มเติม เบื้องต้นพบพื้นที่ป่าถูกไฟป่าเผาไหม้ มีการกานต้นเสม็ดขาว และปลูกต้นปาล์มน้ำมันแทรกแซมในป่าเสม็ดขาว และผลการตรวจสอบโดยใช้เครื่องมือหาค่าพิกัดจากดาวเทียม (GPS) รอบพื้นที่ที่ถูกไฟป่าเผาไหม้ มีการกานต้นเสม็ดขาว และปลูกต้นปาล์มน้ำมันแทรกแซมในป่าเสม็ดขาว ได้เนื้อที่ทั้งหมด 18 -1- 94 ไร่ เป็นพื้นที่ที่ถูกไฟป่าเผาไหม้ 00-3-92 ไร่ ต้นเสม็ดขาวที่ถูกโดนกาน เพื่อให้ยืนต้นตาย มีจำนวนประมาณ 120 ต้น และปลูกต้นปาล์มน้ามันอายุประมาณ 3-4 ปี แทรกแซมในป่าเสม็ดขาวจำนวนประมาณ 225 ต้น คิดเป็นมูลค่าเสียหายที่เกิดแก่รัฐเป็นอัตราไร่ละ 79,462 บาท/ไร่ (คิดเป็นค่าเสียหายเขต 2 ป่าพรุ) รวมค่าเสียหายที่เกิดแก่รัฐเป็นเงินทั้งสิ้น 1,468,855.07 บาท (หนึ่งล้านสี่แสนหกหมื่นแปดพันแปดร้อยห้าสิบห้าบาทเจ็ดสตางค์)
จากการสืบสวนข้อเท็จจริงบริเวณพื้นที่ที่ถูกไฟป่าเผาไหม้ มีการกานต้นเสม็ดขาว และปลูกต้นปาล์มน้ำมันแทรกแซมในป่าเสม็ดขาว บางส่วนทับซ้อนกับที่ดินที่มีราษฎรแจ้งการครอบครองที่ดินตามแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ดินของราษฎรในเขตป่าอนุรักษ์ ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2561 คือ ที่ดินที่แจ้งการครอบครองของนายวรยุทธ และที่ดินที่แจ้งการครอบครองของนางสาววิลาวัลย์ ซึ่งที่ดินดังกล่าวได้นำเข้าคณะทำงานสำรวจการถือครองที่ดิน ระดับพื้นที่ พิจารณาแล้วปรากฏว่าไม่ผ่านการพิจารณาของคณะทำงานสำรวจการถือครองที่ดิน ระดับพื้นที่ เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวเป็นป่าเสม็ดขาวยังคงมีความอุดมสมบูรณ์และไม่มีร่องรอยการเข้าไปทำประโยชน์แต่อย่างใด
ทั้งนี้การกระทำดังกล่าว เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 ดังนี้
1. ฐาน ก่อสร้าง แผ้วถาง หรือเผาป่า หรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการทำลายป่า หรือเข้ายึดถือหรือครอบครองป่าเพื่อตนเองหรือผู้อื่น โดยไม่ได้รับอนุญาต ตามมาตรา 54 และระวางโทษตามมาตรา 72
2.ฐานผู้ใดครอบครองป่าซึ่งได้ถูกแผ้วถางโดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งมาตรา 54 ให้สันนิษฐานว่าบุคคลนั้นเป็นผู้แผ้วถางป่านั้น ตามมาตรา 55 และความผิดตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ 2562
3. ฐาน ตัด โค่น แผ้วถาง เผา ทำลาย ต้นไม้หรือพฤกษชาติอื่น หรือทำลายทำให้เสื่อมสภาพ ขุด เก็บ ซึ่งแร่ ดิน หินกรวด ทราย ลูกรัง ของป่า หรือทรัพยากรธรรมชาติใดๆ หรือเปลี่ยนแปลงทางน้ำ หรือทำให้น้ำในลำน้ำ ลำห้วย หนอง บึง ท่วมท้นหรือเหือดแห้ง เป็นพิษหรือเป็นอันตรายต่อสัตว์ป่า ในเขตห้ามล่าสัตว์ป่า โดยไม่ได้รับอนุญาตตามมาตรา 67(2) และระวางโทษตามมาตรา 103
4. ฐาน ภายใต้บังคับกฎหมายว่าด้วยการเหมืองแร่และการป่าไม้ ที่ดินของรัฐนั้นถ้ามิได้มีสิทธิครอบครองหรือมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว ห้ามมิให้บุคคลใด
(1) เข้าไปยึดถือ ครอบครอง รวมตลอดถึงการก่นสร้างหรือเผาป่า ตามมาตรา 9 และระวางโทษตามมาตรา 108 ทวิ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน
5. ฐานผู้ใดกระทำหรือละเว้นการกระทำด้วยประการใดโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายอันเป็นการทำลาย หรือทำให้สูญหาย หรือเสียหายแก่ทรัพยากรธรรมชาติซึ่งเป็นของรัฐ หรือเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่รัฐตามมูลค่าทั้งหมดของทรัพยากรธรรมชาติที่ถูกทำลาย สูญหายหรือเสียหายไปนั้น ตามมาตรา 97 พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ 2535
เจ้าหน้าที่ได้นำเรื่องราว ส่งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรชะอวด อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อขยายผล ทำการสืบสวนสอบสวนผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีและเพิกถอนสิทธิทำกินตามกฎหมาย ต่อไป
กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ขอให้ประชาชนที่พบเห็นการกระทำผิดกฎหมายว่าด้วยการป่าไม้ พบการเผาป่า การแผ้วถางป่าอนุรักษ์เพื่อทำการเกษตร ตลอดจนการกระทำอื่นใดเพื่อบุกรุกเขตป่าอนุรักษ์ สามารถแจ้งไปได้ที่สายด่วน 1362 เพื่อประสานงานกับเจ้าหน้าที่ในการเข้าตรวจสอบต่อไป