ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ชูกลยุทธ์ Customer First เร่งช่วยลูกค้าเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน ด้วยสูตรสำเร็จ “เทคโนโลยีดิจิทัลผนวกระบบไฟฟ้า” ย้ำความสำเร็จลดคาร์บอนทั่วโลก 679 ล้านตัน

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ผู้นำด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น ในการจัดการพลังงานและระบบอัตโนมัติ เผยกลยุทธ์หลักปี 2568 เร่งผลักดันลูกค้าและพาร์ทเนอร์ด้วยสูตรสำเร็จความยั่งยืน สนับสนุนระบบนิเวศอย่างเข้มแข็ง ร่วมสร้างโอกาสทางธุรกิจผ่านความยั่งยืนด้วยผลิตภัณฑ์ โซลูชั่นและบริการล้ำหน้าเพื่อประสิทธิภาพด้านพลังงานสูงสุด สะท้อนการเติบโตของรายได้รวมปี 2567 ทั่วโลก 38,153 ล้านยูโร 7เปอร์เซ็นต์ เป็นผลจากความสำเร็จในการผลักดันธุรกิจที่ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมเร่งให้ความสำคัญลูกค้าเป็นอันดับแรก เพื่อสร้าง Impact Makers ช่วยลด Green Impact Gap

นายมงคล ตั้งศิริวิช ประธาน ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ดูแลกลุ่มคลัสเตอร์ ประเทศไทย ลาว และเมียนมา เผยว่า ในฐานะที่ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เป็นหนึ่งในผู้สร้างผลกระทบเชิงบวก (Impact Makers) ที่ประสบความสำเร็จในการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้บรรลุเป้าที่ตั้งไว้ เราเป็นองค์กรที่ตระหนักและให้ความสำคัญในการสร้างความยั่งยืนภายในองค์กรและพร้อมส่งต่อความมุ่งมั่นไปยังพันธมิตร เพื่อส่งเสริมการเป็น Impact Makers ไปด้วยกัน ผ่านจุดยืนของแนวคิดที่เป็นสูตรสำเร็จในการบริหารจัดการด้านความยั่งยืนสำคัญ 3 แกนหลัก ได้แก่ 1.Strategize การวางแผนสร้างกลยุทธ์เพื่อผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพให้เกิดขึ้นในระบบนิเวศทั้งซัพพลายเชน 2.Digitize ารนำเทคโนโลยีมาใช้ตั้งแต่เริ่มต้นทั้งการให้คำปรึกษาตลอดจนการวัดผล และ 3.Decarbonize การลงมือทำอย่างมีประสิทธิผล โดยนำเทคโนโลยีล้ำหน้าพร้อมระบบวิเคราะห์มาช่วยในการลดการปล่อยคาร์บอนไนออกไซด์

ที่ผ่านมา ชไนเดอร์ อิเล็คทริค สามารถช่วยให้ลูกค้าทั่วโลกลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ตั้งแต่ปี 2561 ถึง 2567 ได้ถึง 679 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในการดําเนินงานของซัพพลายเออร์ชั้นนําถึง 40 เปอร์เซ็นต์ ส่งผลให้ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เป็นองค์กรหนึ่งเดียวที่ขึ้นแท่นอันดับ 1 ใน Global 100 ถึง 2 ครั้ง จากการจัดทำโดย Corporate Knights

อีกทั้งความต้องการขององค์กรธุรกิจด้านการสร้างความยั่งยืนมีเพิ่มมากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ผลประกอบการทั่วโลกของชไนเดอร์ อิเล็คทริค เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2567 มีรายได้รวม 38,153 ล้านยูโร เติบโตเพิ่มขึ้น 8 เปอร์เซ็นต์ (Organic) จากปี 2566 ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 35,902 ล้านยูโร ด้วยผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืนที่โดดเด่น ทำให้มีสัดส่วนรายได้รวมที่มาจากธุรกิจส่งผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ (Impact revenues) สูงถึง 74 เปอร์เซ็นต์

นายมงคล เผยว่า สำหรับปีนี้ภาคธุรกิจยังคงต้องให้ความสำคัญของ 3 เมกะเทรนด์ที่อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจและเป็นตัวชี้ทิศทางอนาคตของธุรกิจใหม่ ได้แก่ 1.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ส่งผลกระทบต่อธุรกิจโดยรวมในเอเชีย และเป็นความเสี่ยงที่มีนัยสําคัญสูงถึง 70 เปอร์เซ็นต์ และมีรายงานต้นทุนที่เพิ่มขึ้นในช่วง 12 เดือน ถึง 41 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ 32 เปอร์เซ็นต์ รายงานถึงความเสียหายทางกายภาพและทรัพย์สินของบริษัท 2.การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ (AI) ส่งผลให้เกิดความต้องการใช้พลังงานประมวลผลของดาต้าเซ็นเตอร์พิ่มขึ้นมหาศาล เกิน 10 เท่าตัว โดย 93 เปอร์เซ็นต์ ของบริษัทในเอเชียได้ปรับใช้กลยุทธ์การเปลี่ยนสู่ดิจิทัลที่หลากหลายเพื่อสนับสนุนเป้าหมายความยั่งยืน แต่ยังคงเผชิญความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้น เมกะเทรนด์ที่ 3.การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน ส่งผลจากความต้องการพลังงานที่มากขึ้น ธุรกิจมีการมองหาพลังงานทดแทน ที่เป็นพลังงานสะอาด จากการวิจัยโดย World Economic Forum พบว่า หากมีการใช้มาตรการเพื่อเปลี่ยนแปลงความต้องการพลังงานภายในปี 2573 จะสามารถประหยัดได้ถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี ในขณะที่ 29 เปอร์เซ็นต์ ของบริษัทที่สํารวจมองว่ายังมีข้อจำกัดด้านความพร้อมในการเปลี่ยนมาใช้ทางเลือกพลังงานสะอาด และมีแนวโน้มที่จะลงทุนในมาตรการด้านการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ

การผลักดันองค์กรจำนวนมากให้ก้าวสู่ความเป็น Impact Makers หรือกลุ่มผู้สร้างผลกระทบด้านความยั่งยืน คือหนึ่งในภารกิจที่ชไนเดอร์มุ่งเน้นเพื่อตอบโจทย์เมกะเทรนด์ได้อย่างตรงเป้าหมาย นอกจากนี้ยังเป็นการช่วยเพิ่มโอกาสการเติบโตจากความยั่งยืนให้องค์กรต่างๆ ทั้งนี้ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้มีการจัดทำการสำรวจ Green Impact Gap ประจำปี ร่วมกับพันธมิตร Milieu Insight ในกลุ่มผู้นำธุรกิจจำนวน 4,500 ราย ใน 9 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ไต้หวัน เวียดนาม และผู้นำธุรกิจ 500 รายในไทย เพื่อชี้ให้เห็นความสำคัญของแผนการลงทุนในการขับเคลื่อนดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น พร้อมสร้างผลลัพธ์ได้จริงจากการดำเนินงานได้ตามเป้าหมาย ผลสำรวจพบว่า 95 เปอร์เซ็นต์ของบริษัทในกลุ่มประเทศดังกล่าวมีเป้าหมายด้านความยั่งยืน แต่มีเพียง 47 เปอร์เซ็นต์ที่ดําเนินการอย่างครอบคลุมเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ขณะที่ช่องว่างการดําเนินการด้านความยั่งยืนของไทยในปี 2567 ยู่ที่ 50 เปอร์เซ็นต์ แม้ว่า 98 เปอร์เซ็นต์มีเป้าหมายด้านความยั่งยืน แต่ดําเนินการตามกลยุทธ์อยู่ที่ 48 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น

อีกทั้ง 83 เปอร์เซ็นต์ของธุรกิจไทยให้ความสําคัญกับความยั่งยืน โดย 74 เปอร์เซ็นต์ของผู้บริหารระดับสูงมองว่าความยั่งยืนเป็นสิ่งสําคัญสําหรับบริษัท และ 39 เปอร์เซ็นต์มองว่าการดำเนินโครงการด้านความยั่งยืนนําไปสู่โอกาสทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้น โดย Impact Makers กําลังพัฒนาความยั่งยืนผ่านการเปลี่ยนสู่ดิจิทัลซึ่งให้ความสําคัญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ อีกทั้งตระหนักดีว่าการสร้างความยั่งยืนต้องให้ความสำคัญกับแนวทางและความร่วมมือในระบบนิเวศเพื่อสร้างความสำเร็จร่วมกัน

นายมงคล เผยว่า ชไนเดอร์ อิเล็คทริค มุ่งมั่นในการขับเคลื่อนระบบนิเวศ ทั้งลูกค้าและคู่ค้าสู่การเป็น Impact Makers ไปด้วยกัน ด้วยการพัฒนานวัตกรรมและซอฟต์แวร์ เพื่อรองรับกลยุทธ์พลังงานไฟฟ้า 4.0 เป็นกุญแจสําคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานทั้งในด้านอุปสงค์และการลดคาร์บอนออกไซด์ในการจัดหาพลังงาน โดยใช้แนวคิดที่เป็นสูตรสำเร็จ “เทคโนโลยีดิจิทัล + ระบบไฟฟ้า ยั่งยืน” เพื่อตอบโจทย์เมกะเทรนด์ดังกล่าว โดยเฉพาะใน 4 กลุ่มตลาดหลักที่สำคัญคือ อาคาร ดาต้าเซ็นเตอร์ อุตสาหกรรม และระบบโครงสร้างพื้นฐาน

ทั้งนี้พบว่า 37 เปอร์เซ็นต์ของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั่วโลกเกิดจากอาคาร เทคโนโลยีอาคารและการจัดการพลังงาน สามารถช่วยลดการใช้พลังงานได้ประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ จากการปรับปรุงระบบดิจิทัลและเทคโนโลยี และสามารถลดการก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในการดําเนินงานของอาคารได้ถึง 77 เปอร์เซ็นต์ ด้วยโซลูชั่นของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ขณะที่ในกลุ่มบ้านพักอาศัยมีโซลูชั่นการจัดการพลังงานภายในบ้านเต็มรูปแบบที่เรียกว่า Home Energy Management Solutions หรือ HEMS ซึ่งผสานกับ AI ช่วยตั้งแต่บริหารจัดการการผลิต การจัดเก็บ และการใช้พลังงาน เจ้าของบ้านสามารถควบคุมการใช้พลังงานและต้นทุนที่เกี่ยวข้องได้ ขณะที่ดาต้าเซ็นเตอร์ อุตสาหกรรม และระบบโครงสร้างพื้นฐาน ชไนเดอร์ อิเล็คทริค มีบริการด้านพลังงานและความยั่งยืน ซอฟต์แวร์และโซลูชั่นเพื่อนําลูกค้าไปสู่ Net Zero ผ่าน EcoStruxure นวัตกรรมที่เปลี่ยนทุกความท้าทายให้เป็นโอกาส 

นอกจากนี้ เพื่อเป็นการยกย่องคู่ค้าและลูกค้า รวมถึงซัพพลายเออร์ที่มุ่งมั่นสร้างความยั่งยืนร่วมกันผ่านการปรับใช้นวัตกรรมและโซลูชั่นลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ อีกทั้งยังอยู่ในกลุ่ม Impact Makers ที่พร้อมร่วมกันขับเคลื่อนสู่สังคม Net Zero ชไนเดอร์ อิเล็คทริค จึงได้คัดเลือก บริษัทชั้นนำของไทย เป็นผู้ชนะในเวที Sustainability Impact Awards 2024 ระดับประเทศ ได้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด บริษัท ทรู อินเทอร์เน็ต ดาต้า เซ็นเตอร์ จำกัด บริษัท อาซีฟา จำกัด (มหาชน) และบริษัท คอมพลีท อิเล็คทริเคิล โซลูชั่นส์ จำกัด โดยรางวัลนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการเป็นผู้นําด้านความยั่งยืน และเปิดการมองเห็นสู่สายตาของทั่วโลกที่อาจนําไปสู่โอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ

 

Visitors: 3,017,979